การอุดฟัน (Dental Filling) คือกระบวนการรักษาฟันที่ผุ หรือฟันที่มีรอยแตก ร้าว หรือบิ่น โดยทันตแพทย์จะนำวัสดุอุดฟันมาเติมเต็มส่วนที่เสียหาย เพื่อป้องกันไม่ให้ฟันผุเพิ่มขึ้น และช่วยให้ใช้งานฟันได้ตามปกติ
ทันตแพทย์จะตรวจฟันผุด้วยตาร่วมกับการ X-ray
ใช้เครื่องมือกรอฟันเพื่อนำส่วนที่ผุออก
ทำความสะอาดโพรงฟันและเตรียมพื้นผิว
เติมวัสดุอุดฟันลงไปและปรับรูปร่างให้พอดีกับฟัน
ทำให้พื้นผิวเรียบเนียนและใช้งานได้ตามปกติ
ประเภทของวัสดุอุดฟัน
• อมัลกัม (Amalgam) สีเงิน แข็งแรง ทนทาน แต่ไม่สวยงาม ไม่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน
• คอมโพสิต (Composite Resin) สีเหมือนฟันธรรมชาติ สวยงาม แต่มีอายุการใช้งานสั้นกว่าบางประเภท
• เซรามิก (Ceramic/Inlay-Onlay) สีเหมือนฟัน ทนทาน ไม่เปลี่ยนสีง่าย แต่ราคาสูง
• ทอง (Gold Filling) แข็งแรง ทนทานมาก แต่มีราคาแพง
ข้อดีของการอุดฟัน
• ป้องกันการลุกลามของฟันผุ
• คืนสภาพการใช้งานของฟัน
• ลดอาการเสียวฟันหรือปวดฟัน
• ทำให้ฟันดูเป็นธรรมชาติ (หากเลือกวัสดุสีเหมือนฟัน)
ข้อเสียหรือผลข้างเคียง
• วัสดุบางชนิดอาจเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปนาน ๆ
• อาจต้องเปลี่ยนวัสดุอุดฟันใหม่เมื่อเกิดการรั่วซึม
• หากฟันผุลึกมาก อุดฟันอาจไม่เพียงพอและอาจต้องรักษารากฟัน
ควรตรวจฟันทุก 6 เดือน เพื่อตรวจหาฟันผุและรักษาได้ทันเวลาก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม
เมื่อไหร่ที่ต้องทำ
การอุดฟันจะทำเมื่อฟันเกิดการผุ หรือมีการสึกหรอ โดยการอุดจะช่วยเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากการผุหรือเสียหายของฟัน เพื่อให้ฟันกลับมาใช้งานได้ตามปกติ
วิธีการ
ทันตแพทย์จะทำการกำจัดเนื้อฟันที่ผุและติดเชื้อออก แล้วใช้วัสดุอุดฟัน (เช่น เรซินคอมโพสิต, อมัลกัม, หรือวัสดุเซรามิก) เติมตรงบริเวณที่ผุ
ข้อดี
การรักษารากฟันช่วยให้ฟันที่อาจจะต้องถอนออกสามารถคงอยู่ในช่องปากได้ โดยฟันจะยังคงสามารถใช้งานได้
อาการหลังการรักษา
มีอาการเจ็บปวดในช่วงหลังการรักษาได้บ้าง แต่โดยปกติแล้วจะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป